ยูทูปเบอร์มือใหม่จะได้รับคำแนะนำหนึ่ง
นั่นคือ "อย่าอ่านคอมเมนต์"
เพื่อนคนหนึ่งที่ทำยูทูปมานานบอกพริมว่า
"ช่องคอมเมนต์ยูทูปคือแดนเถื่อน"
และพริมพบว่ามันจริง 70%
ในท่ามกลางคอมเมนต์ดีๆ มีประโยชน์ จะพบคอมเมนต์ 30% ที่มาสาดอารมณ์ด้านลบใส่เรา
ราวกับว่าเขาโกรธใครมา
พริมเป็นแค่ยูทูปเบอร์มือใหม่
พอเจอคอมเมนต์แรงๆ กระแทกเข้าไปก็ถึงกับกระอัก
และตั้งคำถามว่า "หรือที่ฉันทำมันผิดจริงๆ?" "คอนเทนต์นี้ฉันควรแก้ไขอะไรไหม?"
คืนข้ามปีที่ผ่านมาเป็นคืนที่พริมได้รับคอมเมนต์ด้านลบอันนี้
คืนนั้น พริมใช้เวลานั่งนิ่งๆ ทบทวนความรู้สึกของตัวเอง และก็ได้พบสิ่งนี้ค่ะ
.
เวลาเราได้รับฟังความเห็น เราอ่านมันด้วยเสียงของใคร?
สมมุติมีใครสักคนคอมเมนต์ว่า "แนวคิดนี้ของคุณมันเป็นเรื่องบ้าๆ"
เวลาที่เสียงนั้นสะท้อนอยู่ในหัว ในความคิดของคุณ ตอนที่คุณอ่านมัน คุณอ่านมันด้วยเสียงของใคร?
พริมรู้สิ่งนี้แล้วทึ่งมาก
"เราอ่านมันด้วยเสียงของตัวเอง เสียงของคนที่เคยทำร้าย หรือกดดันเรามาก่อน"
พระพุทธเจ้าบอกว่า คนเรามัก "เห็นผิด" ต่อกันเสมอ
เพราะเวลาเราสื่อสารกัน เราไม่อาจเข้าไปนั่งในใจของใครได้ ไม่อาจล้วงเข้าไปในความคิดว่าเขาคิด รู้สึก อะไร เลยสื่อสารออกมาแบบนั้น
ผลลัพธ์ก็คือ เราตีความข้อความของคนอื่น ผ่านประสบการณ์ของตัวเองเสมอ
เสียงของคอมเมนต์ด้านลบนั้น ที่พริมอ่านให้ตัวเองฟัง คือเสียงของคนในความคิดของพริม ที่พริมคิดว่าเขาบงการ กดดัน ชักใยพริมอยู่เสมอ (อ่านต่อไปนะคะ แล้วจะรู้ว่าคนคนนี้มีที่มายังไง)
เมื่อค้นลึกลงไป
พริมพบว่า ตัวตนที่เจ็บปวดเพราะความเห็นเหล่านั้น คือเด็กน้อยคนหนึ่ง
เธอเป็นเด็กเล็กๆ ที่อยากจะเป็นตัวของตัวเอง
แต่ผู้ใหญ่กลับห้ามเธอไว้ ห้ามคิด ห้ามรู้สึก ห้ามพูด ในบางเรื่อง
พริมเชื่อว่าในวัยเด็กที่ทุกคนเติบโตมา เรามี "ผู้ใหญ่" ที่คอยห้ามปราม ในเวอร์ชันของตัวเอง
ผู้ใหญ่แต่ละเวอร์ชัน หล่อหลอมโดยประสบการณ์ของเรา อาจเป็นการโดนดุครั้งแรกที่กินขนม หรือโดนบอกให้ทำตัวดีๆ
อย่าเพิ่งเข้าใจผิด พริมไม่ได้กำลังโทษผู้ใหญ่ในชีวิตของทุกคน
แต่กำลังจะบอกว่า เด็กน้อยตัวเล็กๆ คนนี้ในตัวพวกเราเขาตกใจง่ายมาก
บางครั้งการที่แม่ดุเพราะกินขนม เพราะแม่หวังดี แต่โครงสร้างจิตใจและสมองของเด็กยังรับสารตรงนี้ไม่ได้
เธอเลยตีความไปว่า ถ้าใครที่มีท่าทางคล้ายๆ แม่ มาดุ เธอจะต้องกลัวจนตัวสั่น
และนั่นคือที่มา ที่ทำให้เธอสร้าง "คนในความคิด" ของตัวเองขึ้น เวลามีใครมาดุ เธอจะใช้เสียง "คนในความคิด" ต่อว่าตัวเองเสมอค่ะ (และคนในความคิดมีหลายเวอร์ชัน แล้วแต่ว่าเธอเจอเรื่องภายนอกที่เข้ามากระทบแบบไหน)
Fast Forward กลับมาที่พริมในปัจจุบัน
การได้ลงไปเห็นเด็กน้อยของตัวเองทำให้พริมเข้าใจ
ว่าทุกครั้งที่เราปฏิสัมพันธ์กับใคร แล้วได้อารมณ์ด้านลบกลับมา
เราเองเป็นผู้ "ตีความ" อารมณ์นั้นเอง ผ่านประสบการณ์ในวัยเด็ก หรือที่เราเคยมีมาก่อน
เสียงที่พริมอ่านคอมเมนต์ด้านลบนั้น เป็นเสียงเดียวกับผู้ใหญ่ที่เคยดุพริมในวัยเด็ก ที่พริมสร้างขึ้นด้วยความคิดตัวเอง
พอรู้ตรงนี้แล้วเอาไงต่อ?
อ่านตรงนี้ดีๆ นะคะ
มันแปลว่า "เราสามารถมีอิสรภาพต่อปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ได้ ถ้าเราฮีลตัวเอง"
พริมเองทำงานกับการบำบัดด้วยพลังงานมานาน เข้าใจคำว่า Healing พอสมควร
แต่สำหรับคนที่ยังไม่เข้าใจ
มันคือการ "ลงไปดูบาดแผลของตัวเอง แล้วเยียวยาบาดแผลนั้น"
หลายครั้งเราทนนั่งดูแผลในใจตัวเองไม่ได้ เลยแสร้งเมินเฉย หาสิ่ง Distract ตัวเอง แล้วบอกว่าตัวเองหายดีแล้ว
ในกรณีนี้ พริมลงไปดูเด็กน้อยของตัวเองที่เคยโดนดุ
และพูดกับเธอว่า "ความต้องการของเธอได้รับการมองเห็น และเธอจะได้รับการปกป้องจากฉันเสมอ"
เด็กคนนั้น พอเขาถูกเห็น เขาก็เริ่มรู้สึกเป็นที่รัก รู้สึกปลอดภัยขึ้น
เป็นตัวของตัวเองได้มากขึ้น
และไม่ถูกสะกิดโดยพายุอารมณ์ของคนอื่นง่ายๆ อีก
แต่กว่าเธอจะไม่หวั่นไหวไปกับพายุอารมณ์ ก็ต้องใช้เวลาเหมือนกัน
เพราะกระบวนการฮีลลิ่ง ในแง่หนึ่งเป็นการสร้างทางเดินประสาทใหม่
จากแต่เดิม เห็นคอมเมนต์ด้านลบแล้วตื่นตกใจ
เราสร้างทางเดินประสาทใหม่ว่า เห็นแล้วรู้สึกเข้าใจ ไม่หวั่นไหว
กว่าทางเดินประสาทใหม่จะถูกสร้าง จนเด็กคนนั้นแข็งแรงพอ ไม่ตกใจตัวสั่น ต้องใช้เวลา
นั่นคือเหตุผลที่เราต้องฮีลเรื่อยๆ ค่ะ
.
แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ยังโดนนินทา
พริมเชื่อว่าพระพุทธเจ้าก็รับรู้ถึงอารมณ์ด้านลบนะคะ
แต่ท่านไม่หวั่นไหวไปกับมัน
มีเรื่องเล่าสมัยพุทธกาล คือ พระพุทธเจ้าโดนชายผู้หนึ่งมาปรามาสและถ่มน้ำลายใส่
แต่ท่านก็ยังยืนอยู่ตรงนั้น และบอกว่า ท่านไม่ได้หวั่นไหว
"เพราะคนที่ชายผู้นั่นถ่มน้ำลายใส่ ไม่ใช่สมณโคดม"
ที่พระพุทธเจ้าไม่รู้สึกโกรธ เพราะได้รู้แล้วว่า ความคิด การกระทำด้านลบของคนอื่น
เขาทำมันด้วย "ความเห็นผิด"
คือ "เห็นว่าพระพุทธเจ้าเป็นใครสักคนในจินตนาการของตัวเอง"
ชายผู้นั้นถ่มน้ำลายใส่คนในความคิดของตัวเอง ไม่ใช่พระพุทธเจ้าตัวจริง
คนเราถูก Triggered โดยคำพูด การกระทำของคนอื่น เพราะแบกเอาอดีตของตัวเองมา แล้วใช้อดีตนั้นตีความการกระทำของคนอื่นอีกที
พริมคิดขึ้นมาได้ว่า คนที่คอมเมนต์เขาเองก็มีความทุกข์ เขาเลย triggered กับคำพูดของเรา
และทุกข์ข้างนอกที่เข้ามากระทบเป็นสัญญาณเตือนให้พริมหันกลับเข้ามาดูข้างในใจตัวเราเอง
พริมเลือก Let go of judgement มีอะไรที่พริมยังไม่รู้อีกมาก
พวกเขาอาจจะมีสนามรบที่ให้ต้องสู้
และเรามีสนามรบของเราให้ต้องสู้
สนามรบกลายเป็นดอกไม้บานได้ ถ้าเราเลือกที่จะแปรเปลี่ยนใจเราเอง
(แต่ไม่ได้แปลว่าไม่โกรธ พริมอนุญาตให้ตัวเองโกรธ และจัดการกับอารมณ์โกรธนั่น รวมทั้งลบคอมเมนต์ด้านลบนั่นด้วยค่ะ อันนี้ก็คือการ Respect Boundary ของเราเหมือนกัน)
ถ้าเราทุกคนทำงานกับตัวเอง ปลดชนวนภายในใจตัวเองเป็นหลัก
เราจะพบว่าเราเป็นอิสระจากความกลัว ความโกรธแค้น ความรู้สึกไม่ปลอดภัยได้
ทุกสิ่งที่ทำนี้เพื่อตัวเราเอง
กลับเข้ามาฮีลตัวเอง และ Own Insecurity ของตัวเอง
วิธีนี้จะทำให้เราเป็นอิสระ ได้รับการเยียวยา และมีเมตตาต่อตนเองและผู้อื่นมากขึ้น
และจะทำให้เรา "เห็นถูก" ในสิ่งที่เป็นคนอื่นมากขึ้น เพราะเราได้ชำระ "ความเห็นผิด" ของตัวเองค่ะ
น่าทึ่งดีที่ได้มีประสบการณ์นี้ แค่การค้นคว้าจากโลกภายใน ก็มีอะไรให้ดูไปทิ้งชีวิตแล้ว
ขอบคุณทุกข์ที่มากระทบให้กลับเข้ามาฮีลตัวเอง
And I call you by your true name