ปกติเวลาเราพูดถึง "อาหาร" เรามักจะคิดถึงอาหารที่กินทางปากเท่านั้น

และคนเราจะมีสุขภาพแข็งแรงแค่ไหน ขึ้นอยู่กับอาหารที่กินเข้าไปในแต่ละมื้อ

แต่รู้หรือไม่ว่า ในทางพุทธศาสนา มีอาหาร 4 อย่างด้วยกันที่เราบริโภคทุกวัน แบ่งเป็น "อาหารกาย" และ "อาหารใจ"

เอาล่ะ ถ้าอยาก Fit and Firm ในแบบพุทธๆ เราต้องจัดการการบริโภคอาหาร 4 อย่างนี้ให้ดี

มีอะไรบ้าง มาดู

อาหารทั้ง 4 ในทางพุทธศาสนา หรือที่เรียกว่า "ปัจจยาหาร 4" หมายถึง อาหารที่หล่อเลี้ยงกายและใจ มี 4 ประเภท ได้แก่:

  1. อาหารหยาบที่กินทางปาก เช่น ข้าว น้ำ หรือของกินทั่วไป
ใช้หล่อเลี้ยงร่างกาย อันนี้ไม่ติด ฟิตเนสเทรนเนอร์ทุกคนรู้ และช่วยเราเทรนได้ อิอิ
  1. อาหารที่เกิดจากการกระทบกันของอายตนะภายใน (เช่น ตา หู) กับอายตนะภายนอก (เช่น รูป เสียง) ทำให้เกิดความรู้สึก
ใช้หล่อเลี้ยงจิตใจผ่านประสบการณ์ทางประสาทสัมผัส ประมาณว่า อยากเจออะไรที่สวยๆ งามๆ ถูกใจ ฟังเพลงเพราะๆ ไปนวดสบายๆ หรือรับรู้เรื่องดีๆ ทางประสาทสัมผัส ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อันนี้ฟิตเนสเทรนเนอร์เริ่มมาไม่ถึงละ อันอื่นๆ อีก 2 อันที่จะตามมาด้วย
  1. อาหารที่เกิดจากความตั้งใจคิดทางใจ เช่น ความคิด ความปรารถนา ความตั้งใจ
ใช้หล่อเลี้ยงจิตด้วยเจตนา เหมือนเวลาเราวางเป้าหมายอะไรบางอย่าง แล้วอยากทำให้บรรลุผล (ทางพุทธถือว่า "เจตนา" นี่แหละ เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดกรรม)
  1. อาหารของวิญญาณ คือการรับรู้ของจิตที่เกิดขึ้นเมื่อมีผัสสะ เช่น ตาเห็นรูป แล้วเกิดการรับรู้รูปนั้น
ใช้หล่อเลี้ยงจิตด้วยการรับรู้ อาจจะเรียกได้ว่าเป็นการ "รู้คิด" อ่านดีๆ อันนี้จะต่างจากการรับรู้แบบที่ 2 ข้างต้น ตรงที่แบบที่ 2 เป็นการรับรู้แล้วรู้สึก ชอบ ไม่ชอบ เฉยๆ แต่การรับรู้ในแบบวิญญาณนี่คือ ตาเห็น แล้ว "รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น" มีการนำไปเชื่อมโยงกับประสบการณ์ในอดีต แล้วตีความ ให้ความหมายกับมัน (เลยใช้ว่า "รู้คิด" ซะเลย)

ท่าน ติช นัท ฮันห์ เขียนเกี่ยวกับการหล่อเลี้ยงกายใจด้วยอาหารเหล่านี้ว่า ถ้าเราอยากมีความสุข และบรรลุสันติภาพทางใจ เราต้องคัดเลือกสิ่งที่เราบริโภคเหล่านี้ให้ดี ตามประสาพระ ท่านยกตัวอย่างว่า การฟังเพลงแนวอกหักที่มีความเศร้าอย่างรุนแรง เป็นเหมือนการหล่อเลี้ยงกายใจด้วยอาหารที่ไม่ดี (แต่ปุถุชนอย่างเราบางคนอาจบอกว่า เพลงแบบนี้ก็มีฟังก์ชันในการปลดเปลื้องความรู้สึกเหมือนกัน อันนี้ต้องแล้วแต่คน แต่ท่านนัท ฮันห์ เป็นพระ เลยอาจตีความการเลี้ยงกายใจให้ถูกวิธีแบบนี้)

ซึ่งจะสังเกตว่า การบรรลุถึงอิสรภาพทางพุทธ จะเน้นการฝึกจิต แบบง่ายสุดคือ "ละชั่ว" อันหมายถึง ละเหตุที่เป็นอกุศล ไม่คิด พูด ทำ ในสิ่งที่เป็นอกุศล ต่อมาคือ ทำดี ก็คือ หาอะไรดีๆ (เป็นกุศล) มาเสพ

ไอ้เจ้าการฝึกพวกนี้ มันเป็นเหมือน "ศิลปะ" คือ มีวิธีการมากมาย ในโลกที่มีคนพันล้านคน มันก็มีพันล้านแบบ อยู่ที่แบบไหนตรงกับ "จริต" อย่างเราชอบเสียง ชอบฟังเพลง ก็ใช้เพลงยึดจิตใจในเวลาที่รู้สึกแย่ๆ (ร้องเพลงหมู่บ้านพลัมในใจแล้วหนึ่ง เวลาดาวน์ๆ)

มันเป็นการ Keep Balance หรือที่พระพุทธเจ้าบอกว่าเป็น "ทางสายกลาง" ซึ่ง "มันต้องทำไปตลอดชีวิต" แต่ก็มีข่าวดีสำหรับคนอยากสบาย คือ หนึ่ง ฝึกพวกนี้บ่อยๆ เก่งขึ้นแล้วมันง่ายขึ้น กับ สอง พออยู่ในกลุ่ม "สังฆะ" หรือคนที่ไปในทางเดียวกันกับเราแล้ว มันง่ายขึ้น ดังนั้นอย่าเพิ่งตกใจไป

นั่นแหละค่ะทุกคน ทุกวันนี้เราหล่อเลี้ยงกายใจด้วยสิ่งที่เป็นกุศลหรือยัง ถ้ายัง ลองแบบฝึกหัดง่ายๆ ลองสัมผัสความสดชื่นในระหว่างการหายใจเข้าออกกันค่ะ วิธีนี้ง่ายและเป็นที่แพร่หลายสำหรับนักปฏิบัติ เหมือนเพลงของหมู่บ้านพลัมเพลงนี้

Island of the Self
เกาะสวรรค์ในใจฉัน

Breathing in, I go back to the island within myself.
หายใจเข้า ฉันกลับเข้าไปสู่เกาะสวรรค์ในใจฉัน

There are beautiful trees within the island,
มีต้นไม้สวยๆ มากมายในเกาะนี้

there are clear streams of water,
มีลำธารอันใสสะอาด

there are birds, sunshine and fresh air,
มีฝูงนก อาทิตย์ฉายแสง และอากาศบริสุทธิ์

breathing out, I feel safe.
หายใจออก ฉันรู้สึกมั่นคงปลอดภัย

I enjoy going back to my island.
ฉันมีความสุขกับการกลับไปยังเกาะสวรรค์นี้เสมอ

เอาล่ะค่ะ ทุกคน เรากลับไปยังเกาะนี้ได้ทุกเมื่อ ลองมาสำรวจเล่นๆ มั้ย ว่าแต่ละวันเรากลับเกาะบ่อยแค่ไหน

สู้ๆ ค่ะ