สมมติว่าคุณเลือกทำอาชีพอะไรก็ได้บนโลกใบนี้

คุณจะทำอาชีพอะไรคะ?

อีกคำถาม

สมมติว่าคุณถูกหวยร้อยล้าน

คุณจะยังทำอาชีพที่ทำตอนนี้อยู่มั้ย?

ถ้าคำตอบคือใช่ คุณอาจจะเจอ “อาชีพในฝัน” หรือ “Calling” ของตัวเองแล้ว (อ่านบทความเรื่อง Calling ได้ที่ลิ้งค์ในคอมเมนต์ค่ะ)

แต่แล้ว “ทำไมต้องทำอาชีพในฝัน” ด้วยล่ะ?

วันนี้พริมจะมาเล่าเรื่องตัวเองให้ฟังค่ะ

พริมทำอาชีพมาหลายอย่างมาก ตอนเรียนจบมหา’ลัยใหม่ๆ ทำอาชีพนักเขียนวิจารณ์หนังฟรีแลนซ์

แล้วจับพลัดจับผลู ได้ไปทำงานในมูลนิธิด้านการศึกษาช่วงสั้นๆ จากนั้นก็ไปเป็นผู้จัดการโรงเรียนกวดวิชา

แปลภาษา ทำวีซ่า เป็น บ.ก. หนังสือ เป็นครูสอนภาษาอังกฤษ ภาษาไทยให้คนต่างชาติ ทำเอเจนซี่โฆษณา

จนล่าสุด กลายเป็นโปรดิวเซอร์ค่ายเพลง Branding/Marketing Consultant และ Storytelling Coach ในคนเดียวกัน

ทำไมชีวิตมันหลากหลายขนาดนั้น?

เพราะพริมคิดว่า ถ้าไม่เจอสิ่งที่ใช่ตัวเองจริงๆ จะไม่หยุดค่ะ

ช่วงแรกๆ คนรอบๆตัวบางคนงุนงงกับเส้นทางของพริมมาก

ช่วงที่พริมเป็นผู้จัดการศูนย์ภาษา พริมเกิดอยากเป็นนักร้อง

ญาติคนหนึ่งเรียกไปคุย บอกว่า เขาไม่ชอบอาชีพนี้ ไม่อยากให้เป็น อยากให้เป็นผู้จัดการเหมือนเดิม

ชีวิตพลิกผันอีกหลายตลบ สุดท้ายมันก็มาจบที่ดนตรีจริงๆ (อิอิ)

แล้วทำไมต้องเป็นสามอาชีพนี้? ค่ายเพลง คนสอนเล่าเรื่อง กับที่ปรึกษาธุรกิจ มันเกี่ยวกันยังไง

จุดร่วมของสามอาชีพนี้ คือ มันเป็นอาชีพที่ทำให้พริมได้ทำสองอย่าง

หนึ่ง ทำให้คนเป็นตัวเอง ค้นเจอตัวตนของตัวเอง

สอง ทำให้คนได้แสดงออกในสิ่งที่เป็นตัวเอง ส่งไปให้คนอื่นเข้าใจ

ชีวิตนี้ทำแค่สองเรื่องนี้ก็หมดแล้วค่ะ

สองอย่างนี้ มันบังเอิญ (?) เป็นสิ่งที่พริมทำได้อย่างเป็นธรรมชาติมากๆ

ที่เป็นธรรมชาติ เพราะมันเป็นสิ่งที่พริมมักจะทำออกมาเอง เวลาเจอผู้คนรอบๆตัว

และอีกอย่าง สาขาปรัชญาที่พริมเรียนมาตอนปริญญาตรี ก็ Train ให้พริมเป็นคนแบบนั้น

พอจะบอกได้ว่าสองอาชีพนี้มัน “เป็นตัวเอง” เพราะพริมมีทั้ง “ความชอบ” และ “ทักษะ”

และอย่างสุดท้าย เป็นสิ่งที่พริมคำนึงถึงหลังสุดเลย

ก็คือมันเป็นอาชีพที่ “ช่วยคนอื่นได้ (ทำเงินจากมันได้)”

สามองค์ประกอบนี้ - ความชอบ + ทักษะ + ช่วยคนอื่น พอเอามารวมกัน จะกลายเป็นองค์ประกอบของอาชีพในฝัน

หลายคนเรียก Ikigai (อิคิไก) อาชีพที่ทำให้ชีวิตมีความหมาย

ถามว่าเจอแล้วชีวิตเปลี่ยนมั้ย บอกเลยว่าเปลี่ยนมาก

หนึ่ง - มี Purpose มีแรงใจในการทำงานในทุกๆ วันมากขึ้น (มหาศาล)

สอง - มีโฟกัส พร้อมจะตัดทุกอย่างที่ไม่ใช่ทิ้งไปหมด เพราะสิ่งที่อยู่ใน Ikigai เมื่อเจอแล้วก็อยากจะทำให้ดี (ไม่ดีไม่ทำ)

สาม - พัฒนาตัวเองอยู่ตลอด อันนี้เป็นสิ่งที่พริมทึ่งมาก เพราะพอเราหา Ikigai ตัวเองได้ ชีวิตในทุกๆ วันเหมือนเป็นการเรียนรู้เรื่องนี้ตลอดเวลา เหมือนเรามีเรดาร์คอยจับหาแต่เรื่องนี้ เดินตลาด ดูหนัง ฟังเพลง คุยกับเพื่อน ก็มักจะได้ Information ในเรื่องที่เกี่ยวกับงานในฝันเราตลอด (มันเป็นเอง! ไม่ได้ตั้งใจ)

แค่สามอย่างนี้ก็ทำให้เรากลายเป็นกึ่งๆเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ได้ละ ถ้าใครให้ความสำคัญกับ Productivity มันมาแน่ Productive ไปเอง

แต่พริมไม่ได้ให้ความสำคัญกับ Productivity มากเท่ามิติเชิงจิตวิญญาณ สิ่งสำคัญที่สุดที่พริมได้จากการเจอ Ikigai คือ พริมรู้สึกเติมเต็มและสมบูรณ์ในตัวเอง ชนิดที่ว่า รู้สึกโชคดีที่ได้ทำงานนี้ทุกๆวัน (ชีวิตคนเราจะต้องการอะไรมากกว่านี้อีก บอกเลยว่าเอาเงิน 100 ล้านมากองก็ซื้อไม่ได้นะ)

แค่ช่วยคนได้เพิ่ม 1 คน เพราะงานของเรา ก็ฟินสุดๆแล้ว

อยากให้ลอง ค้นหาคำว่า Ikigai แล้วศึกษามันดู หรือจะหาหนังสือ อ.ภิญโญ มาอ่านก็ได้ คนนี้ Ikigai Coach ตัวจริง (อยู่ขอนแก่นด้วย อยากนัดเจอมาก)

—-----------------------

สำหรับใครที่อ่านเรื่องราวของพริมและสนใจสิ่งที่พริมทำ พริมมีบริการ Align with Your Job

สิ่งที่ทำหลักๆคือ ทำให้คนที่มารับคำปรึกษาเข้าใจตัวเองในขาของ “สิ่งที่ชอบ” กับ “ทักษะ” มากยิ่งขึ้น เพื่อลอง Projection หาจุดแข็งในการทำงาน หรือหาธุรกิจที่เหมาะ

หรือถ้าใครทำธุรกิจอยู่แล้ว Session นี้จะช่วยให้คุณเข้าใจ "ตัวตนของแบรนด์" ชัดขึ้นค่ะ

ใครสนใจ ทักไลน์ OA: Prim Malikul

ที่นี่ค่ะ

LINE Add Friend